ชบา (Hibiscus) จัดเป็นไม้ประดับดอกที่นิยมปลูกกันทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบประเทศเขตร้อนของอเมริกา และแอฟริกา จนได้สมญานามว่า ราชินีแห่งดอกไม้เมืองร้อน นอกจากนั้น ยังนิยมนำดอก และใบที่มีสารเมือกมาใช้ประโยชน์ในด้านสมุนไพร และความงามอีกด้วย
• วงศ์ : Malvaceae
• สกุล : Hibiscus
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus rosa-sinensis
• ชื่อสามัญ :
– Hibiscus
– Tropical Hibiscus
– Hawaiian Hibiscus
– Shoe Flower
– China rose
• ชื่อท้องถิ่น : ใหม่, ใหม่แดง (ภาคเหนือ) ; ชบา (ภาคกลาง) ; บา (ภาคใต้) ; ชบาขาว, ชุมบา (ปัตตานี)
• ถิ่นกำเนิด : ประเทศ อินเดีย และประเทศเขตร้อนชื้นต่างๆ
• วงศ์ : Malvaceae
• สกุล : Hibiscus
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus rosa-sinensis
• ชื่อสามัญ :
– Hibiscus
– Tropical Hibiscus
– Hawaiian Hibiscus
– Shoe Flower
– China rose
• ชื่อท้องถิ่น : ใหม่, ใหม่แดง (ภาคเหนือ) ; ชบา (ภาคกลาง) ; บา (ภาคใต้) ; ชบาขาว, ชุมบา (ปัตตานี)
• ถิ่นกำเนิด : ประเทศ อินเดีย และประเทศเขตร้อนชื้นต่างๆ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
ชบา เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นแตกกิ่งตั้งระดับล่าง ลำต้นแตกกิ่งปานกลาง แต่ใบมีขนาดใหญ่ และดก ทำให้แลดูมีทรงพุ่มทึบ เปลือกลำต้นมีเส้นใยและยางเมือก สามารถดึงลอกออกเป็นเส้นเชือกได้
ใบ
ชบา ใบแตกออกใบเดี่ยวๆ เรียงสลับตามความยาวของกิ่ง ใบมีหูใบยาว 0.5-2 เซนติเมตร ใบมีรูปหลายลักษณะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ทั้งทรงกลม รูปไข่ ยาวประมาณ 4-9 เซนติเมตร โคนใบกว้าง ปลายใบแหลม มีก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร แผ่นใบมีทั้งโค้งเป็นลูกคลื่นหรือเรียบ และมีร่องของเส้นใบหลักประมาณ 3 เส้น แผ่นใบมีสีเขียวสดถึงเขียวเข้ม เป็นมัน และมีขนเล็กๆปกคลุม ส่วนขอบใบมีทั้งหยักตื้นหรือหยักเป็นฟันเลื่อยลึก เมื่อนำใบมาขยำจะมีน้ำเมือกเหนียวออกมา
ชบา ใบแตกออกใบเดี่ยวๆ เรียงสลับตามความยาวของกิ่ง ใบมีหูใบยาว 0.5-2 เซนติเมตร ใบมีรูปหลายลักษณะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ทั้งทรงกลม รูปไข่ ยาวประมาณ 4-9 เซนติเมตร โคนใบกว้าง ปลายใบแหลม มีก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร แผ่นใบมีทั้งโค้งเป็นลูกคลื่นหรือเรียบ และมีร่องของเส้นใบหลักประมาณ 3 เส้น แผ่นใบมีสีเขียวสดถึงเขียวเข้ม เป็นมัน และมีขนเล็กๆปกคลุม ส่วนขอบใบมีทั้งหยักตื้นหรือหยักเป็นฟันเลื่อยลึก เมื่อนำใบมาขยำจะมีน้ำเมือกเหนียวออกมา
ดอก
ดอกชบาเป็นดอกสมบูรณ์ที่ออกเป็นดอกเดี่ยวๆบริเวณซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกตูมมีลักษณะเป็นหลอด ปลายหลอดแหลม มีกลีบเลี้ยงสีเขียวหุ่มด้านนอก โดยตัวดอกมีจำนวน กลีบเลี้ยง และกลีบดอก อย่างละ 5 อัน ซึ่งกลีบดอกมีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียวหรือซ้อนกันเป็นชั้น โดยตัวดอกมีก้านดอกยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ถัดมาเป็นริ้วประดับที่มีประมาณ 6-7 อัน รูปเส้นด้าย ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ถัดมาเป็นกลีบเลี้ยงสีเขียว แบ่งเป็น 5 กลีบ โคนกลีบกว้าง ปลายกลีบแหลม เป็นรูประฆัง ส่วนกลีบดอก มี 5 กลีบ กลีบดอกมีรูปไข่กลับหรือมนเรียงซ้อนเป็นวงกลม แผ่นกลีบดอกอาจเรียบหรือย่น หรือบิดเป็นคลื่น ส่วนขอบกลีบมักย่นเป็นลูกคลื่น เส้นผ่าศูนย์กลางของกลีบดอกประมาณ 6-10 เซนติเมตร มีโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปแตร ซึ่งสีของกลีบดอกมีหลายสี และเป็นสีที่สดใส ฉูดฉาด อาทิ สีแดง สีชมพู สีขาว สีเหลือง เป็นต้น ซึ่งมักเป็นสายพันธุ์ลูกผสม
ดอกชบาเป็นดอกสมบูรณ์ที่ออกเป็นดอกเดี่ยวๆบริเวณซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกตูมมีลักษณะเป็นหลอด ปลายหลอดแหลม มีกลีบเลี้ยงสีเขียวหุ่มด้านนอก โดยตัวดอกมีจำนวน กลีบเลี้ยง และกลีบดอก อย่างละ 5 อัน ซึ่งกลีบดอกมีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียวหรือซ้อนกันเป็นชั้น โดยตัวดอกมีก้านดอกยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ถัดมาเป็นริ้วประดับที่มีประมาณ 6-7 อัน รูปเส้นด้าย ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ถัดมาเป็นกลีบเลี้ยงสีเขียว แบ่งเป็น 5 กลีบ โคนกลีบกว้าง ปลายกลีบแหลม เป็นรูประฆัง ส่วนกลีบดอก มี 5 กลีบ กลีบดอกมีรูปไข่กลับหรือมนเรียงซ้อนเป็นวงกลม แผ่นกลีบดอกอาจเรียบหรือย่น หรือบิดเป็นคลื่น ส่วนขอบกลีบมักย่นเป็นลูกคลื่น เส้นผ่าศูนย์กลางของกลีบดอกประมาณ 6-10 เซนติเมตร มีโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปแตร ซึ่งสีของกลีบดอกมีหลายสี และเป็นสีที่สดใส ฉูดฉาด อาทิ สีแดง สีชมพู สีขาว สีเหลือง เป็นต้น ซึ่งมักเป็นสายพันธุ์ลูกผสม
ด้านในตรงกลางมีก้านชูเกสรยาว ซึ่งมักมีสีเดียวกันกับกลีบดอกหรือโคนกลีบดอก โดยส่วนปลายสุดเป็นอับเรณูของเกสรตัวผู้ และตัวเมีย
การปลูกชบา
พันธุ์ชบาที่นิยมปลูกมาจะเป็นพันธุ์ฮาวาย ซึ่งมีมากกว่า 400 ชนิด และทั่วไปนิยมปลูกจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอนกิ่ง หรือ การปักชำ
การตอนกิ่งชบาจะเลือกกิ่งที่มีสีน้ำตาล ขนาดกิ่งประมาณเท่านิ้วก้อยถึงนิ้วชี้ ส่วนการปักชำชำกิ่งจะใช้ทั้งกิ่งขนาดใหญ่จนถึงเล็กประมาณเท่านิ้วชี้เช่นกัน ซึ่งจะตัดกิ่งให้ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร ก่อนปักชำเอียง 45 องศา ในกระถางเพาะชำ
สรรพคุณของดอกชบา
- มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส
- ช่วยฟอกโลหิต
- ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวกับไต
- ช่วยดับร้อนในร่างกาย แก้กระหาย และช่วยแก้ไข้ ด้วยการใช้ดอกชบา 4 ใบนำมาแช่ในน้ำต้มสุก 2 แก้วแล้วดื่มต่างน้ำ (ดอก)
- ช่วยเรียกน้ำย่อย ทำให้อาการมีรสชาติดีขึ้น ด้วยการใช้รากชบาน้ำไปต้มกับน้ำดื่ม
- ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีระดูขาว ด้วยการใช้ดอกชบาสดประมาณ 4 ดอกนำมาตำให้ละเอียด แล้วกินตอนท้องว่างในช่วงเช้าติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ หรือจะนำดอกชบามาตากให้แห้งในที่ร่ม แล้วนำมาบดเป็นผงกินครั้งละ 1 ช้อนชาติดต่อกัน 1 สัปดาห์ (ดอก)
- ใบชบาสามารถช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ ด้วยการใช้ใบชบาหรือฐานของดอกชบาก็ได้ นำมาตำให้แหลก แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นแผล ก็จะช่วยรักษาแผลได้ (ใบ)
- เปลือกต้นชบาสามารถใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้ (เปลือก)
- รากสด ๆ ของชบาพันธุ์ดอกขาวหรือแดง นำมาตำละเอียดใช้พอกฝีได้ (ราก)
- ช่วยแก้อาการฟกช้ำบวม ด้วยการใช้รากสดของชบาพันธุ์ดอกขาวหรือแดงนำมาตำให้ละเอียด ใช้พอกแก้อาการฟกช้ำ (ราก)
- ใบชบาช่วยบำรุงผมให้ดกดำเงางาม ด้วยการใช้ใบชบาประมาณ 1 กำมือ ล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำให้แหลก เติมน้ำเล็กน้อย ให้คั้นเอาแต่น้ำแล้วกรองกากทิ้ง หลังจากนั้นให้ใช้น้ำเมือกจากใบชบามาใช้สระผม จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกและช่วยบำรุงผมด้วย (ใบ)
- สามารถนำมาใช้ทำเป็นสีย้อมผ้าได้ โดยจะให้สีดำ เพราะในอดีตมีการนำมาใช้ย้อมผม ย้อมขนตา หรือนำไปทารองเท้า (จึงเป็นที่มาของ Shoe flower หรือดอกรองเท้านั่นเอง) (ดอก)
- เปลือกของต้นชบาสามารถนำมาใช้ทำเป็นเชือก หรือใช้ทอกระสอบได้อีกด้วย (เปลือก)
- ต้นชบานิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วเพื่อชมดอก เพราะนอกจากจะให้ความสวยงามแล้วยังปลูกง่าย แข็งแรง และตายยากอีกด้วย (ต้นชบา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น